รถมือสองทั้งหมด

รถมือเดียวออกห้าง TOYOTA VELLFIRE 2.5 Z G EDITION ตัวท็อปสุด ตัวรถผลิตและออกรถปี 2017 แท้ๆ MNC ไมเนอร์เชนจ์ ตัวท็อปสุด ออปชั่นเต็ม คุ้มมากๆ รถบ้านแท้ๆ ซื้อเงินสด ไม่ต้องจ่าย VAT 7 % เจ้าของดูแลดีมากๆ เลขไมล์ 17X,XXX Km. เช็คศูนย์ TOYOTA ได้ตามปกติ สภาพสวยมากๆ ( ทะเบียนสวยสลับออก)

เครื่องยนต์ 2500 เบนซินล้วน ไม่ใช่ไฮบริด รุ่นใหม่ ออโต้ แรงและประหยัดมากๆ เครื่อง+เกียร์ขับนิ่มมากๆ ดูแลง่าย ไม่จุกจิก กำลังเครื่องดีมากๆ

ออปชั่นเต็มๆล้นๆ เบาะมิกกี้เม้าท์ปรับไฟฟ้า เบาะไฟฟ้าหน้า-หลัง ซันรูฟ 2 ตอน นั่งสบาย ประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ฝั่ง ประตูดูด ฝาท้ายไฟฟ้า PUSH START DVD TV ออปชั่นเต็มสุด สภาพใหม่มากๆ

การันตีสภาพ รถสวย+เลขไมล์แท้ ดูรถไมเ่ป็นก็สบายใจได้ ไม่โทรม เราขายความจริง ไม่มีการกลับไมล์ เพื่อให้ท่านดูแลรถต่อได้อย่างสบายใจคุ้มมากๆ ได้รถสภาพสวยมากๆ แต่ราคามือสอง ประหยัดไปเป็นล้าน การันตีสภาพ รถสวย+เลขไมล์แท้ หากมีชน-พลิกคว่ำ ยินดีคืนเงิน

Toyota Vellfire 2.5 (2017) Z G EDITION: MPV หรูยอดนิยมที่หรูหราและสปอร์ต

Toyota Vellfire เจเนอเรชันที่ 2 (รหัสตัวถัง AGH30) เปิดตัวในประเทศไทยช่วงต้นปี 2015 และได้รับความนิยมอย่างสูงในฐานะรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ระดับ First Class ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบายระดับสูงสุด และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน สำหรับรุ่นปี 2017 นี้ เป็นช่วงก่อนการปรับโฉม Minorchange (Facelift) ที่เกิดขึ้นในปี 2018 โดยรุ่น Z G EDITION ถือเป็นหนึ่งในรุ่นย่อยที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ที่เน้นทั้งความหรูหราและความสปอร์ต

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Toyota Vellfire 2.5 2017 Z G EDITION):

1. เครื่องยนต์เบนซิน 2AR-FE 2.5 ลิตร Dual VVT-i:

   • ขนาด: 2,493 ซีซี (2.5 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i

   • กำลังสูงสุด: 182 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 235 นิวตันเมตร ที่ 4,100 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ให้พละกำลังที่เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อน MPV ขนาดใหญ่ทั้งในเมืองและเดินทางไกล การตอบสนองที่นุ่มนวลและราบรื่นของเกียร์ CVT ทำให้ขับขี่สบาย และยังคงความประหยัดน้ำมันได้ดี

2. ห้องโดยสาร 7 ที่นั่งแบบ VIP พร้อม Captain Seat:

   • การจัดวางที่นั่ง: 7 ที่นั่ง (2-2-3) โดยเน้นความสะดวกสบายสูงสุดสำหรับผู้โดยสารแถว 2

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนังแท้ (ในรุ่น Z G EDITION) เบาะนั่งแถว 2 เป็นแบบ Captain Seat แยกอิสระ พร้อมพนักพิงปรับไฟฟ้า, ที่รองขา (Power Ottoman), และโต๊ะพับเก็บได้ (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน)

   • พื้นที่ภายใน: กว้างขวาง โอ่โถง ให้ความรู้สึกหรูหราและเป็นส่วนตัว

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ: แยกปรับได้ 3 โซน (หน้า-กลาง-หลัง) พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง

3. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่หรูหราและสปอร์ต (Z G EDITION):

   • ภายนอก: ดีไซน์ด้านหน้าที่ดุดัน หรูหรา ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ ไฟหน้า LED (ไม่ใช่ Triple LED แบบ Minorchange), และไฟท้าย LED

   • ชุดแต่ง Z: กันชนหน้า-หลังดีไซน์สปอร์ต, สเกิร์ตข้าง (เป็นเอกลักษณ์ของ Vellfire Z/ZG)

   • ล้ออัลลอย: ดีไซน์สปอร์ตเฉพาะรุ่น Z G EDITION (มักจะเป็น 18 นิ้ว)

   • ภายใน: ห้องโดยสารที่ออกแบบอย่างประณีต ใช้วัสดุคุณภาพสูง ตกแต่งด้วยลายไม้และโครเมียม

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • ประตูสไลด์ไฟฟ้า: ทั้ง 2 ข้าง พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (Jam Protection)

   • ประตูท้ายไฟฟ้า: (Power Back Door)

   • หน้าจอสัมผัส: สำหรับระบบ Infotainment (มักจะเป็นจอ OEM หรือจอที่ติดตั้งเพิ่มในไทย)

   • พวงมาลัย Multi-function:

   • ระบบ Smart Entry และ Push Start Button:

   • ไฟ Ambient Light: สร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร

   • ม่านบังแดด: สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง (มักจะ 7-9 ตำแหน่ง)

   • ระบบเบรก ABS/EBD/BA

   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSC)

   • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)

ข้อดีของ Toyota Vellfire 2.5 (2017) Z G EDITION เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ความสมดุลของความสปอร์ตและความหรูหรา:

   • ได้ดีไซน์ภายนอกแบบ Z G EDITION ที่ดูสปอร์ตและดุดันกว่ารุ่น Z หรือรุ่นปกติ

   • ภายในได้เบาะหนังแท้ และฟังก์ชัน Captain Seat พร้อมที่รองขา ซึ่งให้ความสะดวกสบายสูงมาก

2. ออปชันและฟังก์ชันที่ครบครัน:

   • มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่สำคัญ เช่น ประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ข้าง, ประตูท้ายไฟฟ้า, และเบาะ Captain Seat ไฟฟ้า

3. เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรที่ประหยัด:

   • ให้พละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป และประหยัดน้ำมันได้ดี

   • ค่าบำรุงรักษาโดยรวมสมเหตุสมผลกว่ารุ่น Hybrid (ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่ Hybrid ในระยะยาว)

สรุปจุดขายหลักของ Toyota Vellfire 2.5 (2017) Z G EDITION:

• "MPV หรูหรา สปอร์ต สะดวกสบาย": เหมาะสำหรับผู้บริหาร, ธุรกิจรับ-ส่งลูกค้า VIP, หรือครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ที่ให้ประสบการณ์การเดินทางระดับ First Class พร้อมดีไซน์ที่โดดเด่น

• ดีไซน์ Z G EDITION: สปอร์ต หรูหรา และเป็นเอกลักษณ์

• ห้องโดยสาร VIP: เบาะ Captain Seat หรูหรา สะดวกสบาย

• เครื่องยนต์ 2.5L: ประหยัดน้ำมันและมีกำลังเพียงพอ

• ราคาคุ้มค่าในตลาดมือสอง: ได้รถ MPV พรีเมียมในราคาที่จับต้องได้

โดยรวมแล้ว Toyota Vellfire 2.5 (2017) Z G EDITION เป็น MPV มือสองที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่ให้ความหรูหรา สะดวกสบาย และมีสไตล์ที่โดดเด่น

Toyota Alphard 2.5 (2016) HYBRID SR C-Package E-Four 4WD: MPV Hybrid หรูหรา สปอร์ต ครบครัน (รุ่นท็อปก่อนไมเนอร์เชนจ์)

Toyota Alphard เจเนอเรชันที่ 3 (รหัสตัวถัง AYH30) เปิดตัวในประเทศไทยช่วงต้นปี 2015 และได้รับความนิยมอย่างสูงในฐานะรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ระดับ First Class ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น หรูหรา ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบายระดับสูงสุด และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน สำหรับรุ่นปี 2016 นี้ เป็นช่วงก่อนการปรับโฉม Minorchange (Facelift) แต่รุ่น HYBRID SR C-Package ถือเป็นหนึ่งในรุ่นย่อยที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ Hybrid ที่เน้นทั้งความสปอร์ตและความหรูหรา พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า (E-Four)

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Toyota Alphard 2.5 2016 HYBRID SR C-Package E-Four 4WD):

1. ระบบขับเคลื่อน Hybrid E-Four (AWD):

   • เครื่องยนต์เบนซิน: 2AR-FXE 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i

     • กำลังสูงสุด: 152 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที

     • แรงบิดสูงสุด: 206 นิวตันเมตร ที่ 4,400-4,800 รอบ/นาที

   • มอเตอร์ไฟฟ้า:

     • ด้านหน้า: 105 กิโลวัตต์ (ประมาณ 143 แรงม้า) / 270 นิวตันเมตร

     • ด้านหลัง: 50 กิโลวัตต์ (ประมาณ 68 แรงม้า) / 139 นิวตันเมตร (สำหรับระบบ E-Four)

   • กำลังรวมสูงสุดทั้งระบบ (System Output): 197 แรงม้า (PS)

   • เกียร์: อัตโนมัติ E-CVT (Electrically Controlled Continuously Variable Transmission)

   • ระบบขับเคลื่อน: E-Four (ขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า) โดยมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังจะขับเคลื่อนล้อหลังเมื่อจำเป็น ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนและความมั่นคง โดยเฉพาะในสภาพถนนที่ลื่น หรือการออกตัว

   • สมรรถนะ: ให้พละกำลังที่ลื่นไหลและนุ่มนวลตามสไตล์ Hybrid ของ Toyota อัตราเร่งดีเยี่ยมสำหรับรถ MPV ขนาดใหญ่ และที่สำคัญคือ ประหยัดน้ำมันอย่างมาก (อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยประมาณ 18-19 กม./ลิตร)

2. ห้องโดยสาร 7 ที่นั่งแบบ VIP พร้อม Captain Seat:

   • การจัดวางที่นั่ง: 7 ที่นั่ง (2-2-3) โดยเน้นความสะดวกสบายสูงสุดสำหรับผู้โดยสารแถว 2 (เบาะ Captain Seat)

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนังแท้ (ในรุ่น SR C-Package) เบาะนั่งแถว 2 เป็นแบบ Captain Seat แยกอิสระ พร้อมพนักพิงปรับไฟฟ้า, ที่รองขา (Power Ottoman), และโต๊ะพับเก็บได้

   • พื้นที่ภายใน: กว้างขวาง โอ่โถง ให้ความรู้สึกหรูหราและเป็นส่วนตัว

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ: แยกปรับได้ 3 โซน (หน้า-กลาง-หลัง) พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง

3. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่หรูหราและสปอร์ต (SR C-Package):

   • ภายนอก: ดีไซน์ด้านหน้าที่ดุดัน หรูหรา ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ ไฟหน้า LED, และไฟท้าย LED

   • ชุดแต่ง SR: กันชนหน้า-หลังดีไซน์สปอร์ต, สเกิร์ตข้าง

   • ล้ออัลลอย: ดีไซน์สปอร์ตเฉพาะรุ่น SR 

   • ภายใน: ห้องโดยสารที่ออกแบบอย่างประณีต ใช้วัสดุคุณภาพสูง ตกแต่งด้วยลายไม้และโครเมียม

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • ประตูสไลด์ไฟฟ้า: ทั้ง 2 ข้าง พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (Jam Protection)

   • ประตูท้ายไฟฟ้า: (Power Back Door)

   • หน้าจอสัมผัส: สำหรับระบบ Infotainment 

   • พวงมาลัย Multi-function:

   • ระบบ Smart Entry และ Push Start Button:

   • ไฟ Ambient Light: สร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร

   • ม่านบังแดด: สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัย 7-9 ตำแหน่ง

   • ระบบเบรก ABS/EBD/BA

   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSC)

   • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)

ข้อดีของ Toyota Alphard 2.5 (2016) HYBRID SR C-Package E-Four 4WD เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. สมรรถนะ Hybrid และประหยัดน้ำมันอย่างยอดเยี่ยม:

   • เหนือกว่ารุ่นเบนซิน 2.5 ลิตร (หรือ 3.5 ลิตร V6) อย่างชัดเจนในด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้งานต่ำมากสำหรับ MPV ขนาดใหญ่

2. ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า (E-Four):

   • เพิ่มความมั่นคงในการขับขี่อย่างมาก โดยเฉพาะในสภาพถนนที่ลื่น หรือการออกตัวบนทางลาดชัน

   • มอบความมั่นใจและความปลอดภัยที่เหนือกว่ารุ่นขับ 2 ล้อ

3. ความสมดุลของความสปอร์ตและความหรูหรา (SR C-Package):

   • เป็นรุ่นที่รวมความสปอร์ตของชุดแต่ง SR เข้ากับความหรูหราของ Captain Seat และออปชันครบครันในระดับ C-Package ทำให้ได้รถที่มีภาพลักษณ์โดดเด่นและฟังก์ชันการใช้งานที่สมบูรณ์แบบ

4. ความนุ่มนวลและเงียบสงบในการขับขี่:

   • ด้วยระบบ Hybrid ทำให้รถมีการทำงานที่เงียบสงบ โดยเฉพาะเมื่อวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในความเร็วต่ำ มอบประสบการณ์การโดยสารที่ผ่อนคลาย

5. ห้องโดยสาร VIP หรูหรา:

   • เบาะ Captain Seat พร้อมฟังก์ชันครบครัน มอบความสบายสูงสุดให้กับผู้โดยสาร

สรุปจุดขายหลักของ Toyota Alphard 2.5 (2016) HYBRID SR C-Package E-Four 4WD:

• "MPV Hybrid หรูหรา สปอร์ต ประหยัดน้ำมัน ขับ 4": เหมาะสำหรับผู้บริหาร, ธุรกิจรับ-ส่งลูกค้า VIP, หรือครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ที่ให้ประสบการณ์การเดินทางระดับ First Class พร้อมความประหยัดและมั่นคงในการขับขี่

• ระบบ Hybrid E-Four: ประหยัดน้ำมันสูงสุด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า

• ชุดแต่ง SR C-Package: เพิ่มความสปอร์ตและความหรูหราครบครัน

• ห้องโดยสาร VIP: เบาะ Captain Seat หรูหรา สะดวกสบาย

• ความน่าเชื่อถือของ Toyota Hybrid: ระบบพิสูจน์แล้ว ทนทาน

โดยรวมแล้ว Toyota Alphard 2.5 (2016) HYBRID SR C-Package E-Four 4WD เป็น MPV มือสองที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่ให้ความหรูหรา สะดวกสบาย ความประหยัด และความมั่นคงในการขับขี่ที่เหนือกว่า

Toyota Alphard 2.5 (2018) HV 4WD: MPV หรูยอดนิยมที่ประหยัดและล้ำสมัย (รุ่นไมเนอร์เชนจ์)

Toyota Alphard เจเนอเรชันที่ 3 (รหัสตัวถัง AYH30) เปิดตัวในประเทศไทยช่วงปี 2015-2016 และได้รับความนิยมอย่างสูงในฐานะรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ระดับ First Class สำหรับรุ่นปี 2018 นี้เป็นช่วงที่ Alphard ได้รับการปรับโฉม Minorchange (Facelift หรือรุ่น "ไฟสองชั้น") ซึ่งมีการปรับดีไซน์ภายนอกครั้งสำคัญ และเพิ่มฟังก์ชัน/เทคโนโลยีด้านความปลอดภัย (โดยเฉพาะ Toyota Safety Sense) โดยรุ่น HV (Hybrid Vehicle) 4WD เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยระบบขับเคลื่อน Hybrid ที่ประหยัดพลังงาน และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า (E-Four) ที่เพิ่มความมั่นคงในการขับขี่

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Toyota Alphard 2.5 2018 HV 4WD):

1. ระบบขับเคลื่อน Hybrid E-Four (AWD):

   • เครื่องยนต์เบนซิน: 2AR-FXE 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i (สำหรับ Hybrid)

     • กำลังสูงสุด: 152 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที

     • แรงบิดสูงสุด: 206 นิวตันเมตร ที่ 4,400-4,800 รอบ/นาที

   • มอเตอร์ไฟฟ้า:

     • ด้านหน้า: 105 กิโลวัตต์ (ประมาณ 143 แรงม้า) / 270 นิวตันเมตร

     • ด้านหลัง: 50 กิโลวัตต์ (ประมาณ 68 แรงม้า) / 139 นิวตันเมตร (สำหรับระบบ E-Four)

   • กำลังรวมสูงสุดทั้งระบบ (System Output): 197 แรงม้า (PS)

   • เกียร์: อัตโนมัติ E-CVT (Electrically Controlled Continuously Variable Transmission)

   • ระบบขับเคลื่อน: E-Four (ขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า) โดยมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังจะขับเคลื่อนล้อหลังเมื่อจำเป็น ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนและความมั่นคง โดยเฉพาะในสภาพถนนที่ลื่น หรือการออกตัว

   • สมรรถนะ: ให้พละกำลังที่ลื่นไหลและนุ่มนวลตามสไตล์ Hybrid ของ Toyota อัตราเร่งดีเยี่ยมสำหรับรถ MPV ขนาดใหญ่ และที่สำคัญคือ ประหยัดน้ำมันอย่างมาก (อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยประมาณ 18-19 กม./ลิตร ตามมาตรฐาน Eco Sticker)

2. ห้องโดยสาร 7 ที่นั่งแบบ VIP พร้อม Captain Seat:

   • การจัดวางที่นั่ง: 7 ที่นั่ง (2-2-3) โดยเน้นความสะดวกสบายสูงสุดสำหรับผู้โดยสารแถว 2 (เบาะ Captain Seat)

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนังแท้ (หรือหนัง ARTICO) เบาะนั่งแถว 2 เป็นแบบ Captain Seat แยกอิสระ พร้อมพนักพิงปรับไฟฟ้า, ที่รองขา (Power Ottoman), และโต๊ะพับเก็บได้ (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน)

   • พื้นที่ภายใน: กว้างขวาง โอ่โถง ให้ความรู้สึกหรูหราและเป็นส่วนตัว

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ: แยกปรับได้ 3 โซน (หน้า-กลาง-หลัง) พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง

3. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่หรูหราโดดเด่น (Minorchange):

   • ภายนอก: ดีไซน์ด้านหน้าที่ได้รับการปรับปรุงให้ดูดุดันและทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยไฟหน้า LED 3 ดวง (Triple LED) พร้อมไฟเลี้ยว Sequential (วิ่งตามลำดับ), กระจังหน้าขนาดใหญ่ดีไซน์เฉพาะ Alphard

   • ภายใน: ห้องโดยสารที่ออกแบบอย่างประณีต ใช้วัสดุคุณภาพสูง ตกแต่งด้วยลายไม้และโครเมียม และมีการบุเพดานด้วยวัสดุพิเศษ

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • ประตูสไลด์ไฟฟ้า: ทั้ง 2 ข้าง พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (Jam Protection)

   • ประตูท้ายไฟฟ้า: (Power Back Door)

   • หน้าจอสัมผัส: สำหรับระบบ Infotainment (อาจเป็นจอ OEM หรือจอที่ติดตั้งเพิ่มในไทย)

   • พวงมาลัย Multi-function:

   • ระบบ Smart Entry และ Push Start Button:

   • ไฟ Ambient Light: สร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร

   • ม่านบังแดด: สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

5. ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense (มาตรฐานในรุ่น Minorchange 2018):

   • ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System - PCS):

   • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Lane Departure Alert - LDA):

   • ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control - DRCC):

   • ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams - AHB):

   • ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง: (มักจะ 7-9 ตำแหน่ง)

   • กล้องมองภาพรอบคัน (Panoramic View Monitor - PVM): (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน)

   • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor - BSM):

   • ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert - RCTA):

   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSC), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC), ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAC)

ข้อดีของ Toyota Alphard 2.5 (2018) HV 4WD เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ประหยัดน้ำมันอย่างยอดเยี่ยม:

   • เหนือกว่ารุ่นเบนซิน 2.5 ลิตร (หรือ 3.5 ลิตร V6) อย่างชัดเจนในด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้งานต่ำมากสำหรับ MPV ขนาดใหญ่

2. ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า (E-Four):

   • เพิ่มความมั่นคงในการขับขี่อย่างมาก โดยเฉพาะในสภาพถนนที่ลื่น หรือการออกตัวบนทางลาดชัน

   • มอบความมั่นใจและความปลอดภัยที่เหนือกว่ารุ่นขับ 2 ล้อ

3. ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense (มาตรฐานในรุ่น Minorchange 2018):

   • เป็นจุดเด่นที่สำคัญมาก รุ่น Minorchange ได้รับการติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูงนี้เป็นมาตรฐาน ซึ่งเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในการเดินทางอย่างเห็นได้ชัด

4. ดีไซน์ Minorchange ที่ทันสมัย:

   • ได้รูปลักษณ์ภายนอกที่ปรับปรุงใหม่ ดูดุดันและทันสมัยยิ่งขึ้น

5. ความนุ่มนวลและเงียบสงบในการขับขี่:

   • ด้วยระบบ Hybrid ทำให้รถมีการทำงานที่เงียบสงบ โดยเฉพาะเมื่อวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในความเร็วต่ำ มอบประสบการณ์การโดยสารที่ผ่อนคลาย

6. ห้องโดยสาร VIP หรูหรา:

   • เบาะ Captain Seat พร้อมฟังก์ชันครบครัน มอบความสบายสูงสุด

สรุปจุดขายหลักของ Toyota Alphard 2.5 (2018) HV 4WD:

• "MPV หรูหรา ประหยัดน้ำมัน ล้ำสมัย ขับ 4 พร้อมความปลอดภัยเต็มขั้น": เหมาะสำหรับผู้บริหาร, ธุรกิจรับ-ส่งลูกค้า VIP, หรือครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ที่ให้ประสบการณ์การเดินทางระดับ First Class พร้อมความประหยัดและมั่นคงในการขับขี่

• ระบบ Hybrid E-Four: ประหยัดน้ำมันสูงสุด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า

• Toyota Safety Sense: ระบบความปลอดภัยขั้นสูงที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจอย่างมาก

• ดีไซน์ Minorchange: ดูทันสมัย และเป็นเอกลักษณ์

• ห้องโดยสาร VIP: เบาะ Captain Seat หรูหรา สะดวกสบาย

• ความน่าเชื่อถือของ Toyota Hybrid: ระบบพิสูจน์แล้ว ทนทาน

โดยรวมแล้ว Toyota Alphard 2.5 (2018) HV 4WD เป็น MPV มือสองที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่ให้ความหรูหรา สะดวกสบาย ความประหยัด และความมั่นคงในการขับขี่ที่เหนือกว่า พร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสูง

Toyota Alphard 2.5 (2015) HYBRID E-Four 4WD ชุดแต่ง MODELISTA รอบคัน: MPV หรูหราที่ประหยัดและล้ำสมัย

Toyota Alphard เจเนอเรชันที่ 3 (รหัสตัวถัง AYH30) เปิดตัวในประเทศไทยช่วงต้นปี 2015 และได้รับความนิยมอย่างสูงในฐานะรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ระดับ First Class ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น หรูหรา ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบายระดับสูงสุด และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน สำหรับรุ่นปี 2015 นี้ รุ่น HYBRID E-Four เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยระบบขับเคลื่อน Hybrid ที่ประหยัดพลังงาน และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า (E-Four) ที่เพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ พร้อมชุดแต่ง MODELISTA รอบคันที่ช่วยเสริมความพรีเมียมและโดดเด่นยิ่งขึ้น

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Toyota Alphard 2.5 2015 HYBRID E-Four 4WD):

1. ระบบขับเคลื่อน Hybrid E-Four (AWD):

   • เครื่องยนต์เบนซิน: 2AR-FXE 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i (สำหรับ Hybrid)

     • กำลังสูงสุด: 152 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที

     • แรงบิดสูงสุด: 206 นิวตันเมตร ที่ 4,400-4,800 รอบ/นาที

   • มอเตอร์ไฟฟ้า:

     • ด้านหน้า: 105 กิโลวัตต์ (ประมาณ 143 แรงม้า) / 270 นิวตันเมตร

     • ด้านหลัง: 50 กิโลวัตต์ (ประมาณ 68 แรงม้า) / 139 นิวตันเมตร (สำหรับระบบ E-Four)

   • กำลังรวมสูงสุดทั้งระบบ (System Output): 197 แรงม้า (PS)

   • เกียร์: อัตโนมัติ E-CVT (Electrically Controlled Continuously Variable Transmission)

   • ระบบขับเคลื่อน: E-Four (ขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า) โดยมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังจะขับเคลื่อนล้อหลังเมื่อจำเป็น ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนและความมั่นคง โดยเฉพาะในสภาพถนนที่ลื่น หรือการออกตัว

   • สมรรถนะ: ให้พละกำลังที่ลื่นไหลและนุ่มนวลตามสไตล์ Hybrid ของ Toyota อัตราเร่งดีเยี่ยมสำหรับรถ MPV ขนาดใหญ่ และที่สำคัญคือ ประหยัดน้ำมันอย่างมาก (อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยประมาณ 18-19 กม./ลิตร ตามมาตรฐาน Eco Sticker)

2. ห้องโดยสาร 7 ที่นั่งแบบ VIP พร้อม Captain Seat:

   • การจัดวางที่นั่ง: 7 ที่นั่ง (2-2-3) โดยเน้นความสะดวกสบายสูงสุดสำหรับผู้โดยสารแถว 2 (เบาะ Captain Seat)

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่ บาะนั่งแถว 2 เป็นแบบ Captain Seat แยกอิสระ พร้อมพนักพิงปรับไฟฟ้า, ที่รองขา (Power Ottoman)

   • พื้นที่ภายใน: กว้างขวาง โอ่โถง ให้ความรู้สึกหรูหราและเป็นส่วนตัว

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ: แยกปรับได้ 3 โซน (หน้า-กลาง-หลัง) พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง

3. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่หรูหราโดดเด่น:

   • ภายนอก: ดีไซน์ด้านหน้าที่ดุดัน หรูหรา ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ ไฟหน้า LED 3 ดวง (Triple LED) และไฟท้าย LED

   • ภายใน: ห้องโดยสารที่ออกแบบอย่างประณีต ใช้วัสดุคุณภาพสูง ตกแต่งด้วยลายไม้และโครเมียม และมีการบุเพดานด้วยวัสดุพิเศษ (เช่น วัสดุคล้ายกำมะหยี่)

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • ประตูสไลด์ไฟฟ้า: ทั้ง 2 ข้าง พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (Jam Protection)

   • ประตูท้ายไฟฟ้า: (Power Back Door)

   • หน้าจอสัมผัส: สำหรับระบบ Infotainment 

   • พวงมาลัย Multi-function:

   • ระบบ Smart Entry และ Push Start Button:

   • ไฟ Ambient Light: สร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร

   • ม่านบังแดด: สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัย 7-9 ตำแหน่ง

   • ระบบเบรก ABS/EBD/BA

   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSC)

   • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)

ชุดแต่ง MODELISTA รอบคัน:

การติดตั้งชุดแต่ง MODELISTA รอบคัน เป็นจุดเด่นสำคัญที่ช่วยยกระดับความโดดเด่นของรถคันนี้:

• ดีไซน์ภายนอก: MODELISTA เป็นสำนักแต่งในเครือ Toyota ที่เน้นการออกแบบชุดแอโรพาร์ทให้รถดูหรูหราและสปอร์ตขึ้นอย่างลงตัว โดยไม่ฉูดฉาด

  • ชุดแต่งมักประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า-ข้าง-หลัง ที่เข้ากับดีไซน์ของ Alphard

  • อาจมีปลายท่อไอเสียแบบสปอร์ต

• ประโยชน์: เสริมภาพลักษณ์ให้รถดูพรีเมียม มีสไตล์ และแตกต่างจาก Alphard รุ่นมาตรฐานทั่วไป ทำให้รถดูมีเอกลักษณ์และโดดเด่นยิ่งขึ้น

ข้อดีของ Toyota Alphard 2.5 (2015) HYBRID E-Four 4WD ชุดแต่ง MODELISTA เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ประหยัดน้ำมันอย่างยอดเยี่ยม:

   • เหนือกว่ารุ่นเบนซิน 2.5 ลิตร (หรือ 3.5 ลิตร V6) อย่างชัดเจนในด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้งานต่ำมากสำหรับ MPV ขนาดใหญ่

2. ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า (E-Four):

   • เพิ่มความมั่นคงในการขับขี่อย่างมาก โดยเฉพาะในสภาพถนนที่ลื่น หรือการออกตัวบนทางลาดชัน

   • มอบความมั่นใจและความปลอดภัยที่เหนือกว่ารุ่นขับ 2 ล้อ

3. ดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยชุดแต่ง MODELISTA:

   • การมีชุดแต่ง MODELISTA เพิ่มความพรีเมียมและสไตล์ให้กับรถ ทำให้ดูแตกต่างและหรูหร

   • ความคุ้มค่า: การได้รถที่มีชุดแต่งมาแล้ว ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการนำไปติดตั้งเพิ่มเติม

4. ความนุ่มนวลและเงียบสงบในการขับขี่:

   • ด้วยระบบ Hybrid ทำให้รถมีการทำงานที่เงียบสงบ โดยเฉพาะเมื่อวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในความเร็วต่ำ มอบประสบการณ์การโดยสารที่ผ่อนคลาย

5. ห้องโดยสาร VIP หรูหรา:

   • เบาะ Captain Seat พร้อมฟังก์ชันครบครัน มอบความสบายสูงสุด

สรุปจุดขายหลักของ Toyota Alphard 2.5 (2015) HYBRID E-Four 4WD ชุดแต่ง MODELISTA รอบคัน:

• "MPV หรูหรา ประหยัดน้ำมัน ล้ำสมัย ขับ 4": เหมาะสำหรับผู้บริหาร, ธุรกิจรับ-ส่งลูกค้า VIP, หรือครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ที่ให้ประสบการณ์การเดินทางระดับ First Class พร้อมความประหยัดและมั่นคงในการขับขี่

• ระบบ Hybrid E-Four: ประหยัดน้ำมันสูงสุด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า

• ชุดแต่ง MODELISTA: เพิ่มความพรีเมียมและเอกลักษณ์ให้กับรถ

• ห้องโดยสาร VIP: เบาะ Captain Seat หรูหรา สะดวกสบาย

• ความน่าเชื่อถือของ Toyota Hybrid: ระบบพิสูจน์แล้ว ทนทาน

โดยรวมแล้ว Toyota Alphard 2.5 (2015) HYBRID E-Four 4WD ชุดแต่ง MODELISTA รอบคัน เป็น MPV มือสองที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่ให้ความหรูหรา สะดวกสบาย ความประหยัด และความมั่นคงในการขับขี่ที่เหนือกว่าครับ

เลขไมล์แท้ 7 พันโลแท้ๆ ตรวจสอบได้ ประวัติดีมากๆ TOYOTA GR SUPRA 3.0 ตัวท็อปสุด ปี 2021 เครื่องรุ่นใหม่ 3.0 ออโต้ 382 แรงม้า รถศูนย์ TOYOTA THAILAND ไม่ใช่รถเกรย์นำเข้าอิสระ สภาพเดิมๆ ไม่เคยชน ไม่เคยทำสี รถมือเดียว รถบ้านแท้ๆ ซื้อเงินสด ไม่บวกแวท

เครื่องยนต์ 3.0 เทอร์โบ รุ่นใหม่ 382 แรงม้า ( รุ่นเก่าจะ 340 แรงม้า ) ออโต้ 8 สปีด PADDLE SHIFT ขับสนุกมากๆ

ออปชั่นให้มาแบบล้นๆ ภายในสีดำ-แดง ดูสปอร์ตและให้อารมณ์ในการขับขี่มากๆ ชุดแต่งรอบคัน ปั้มเบรค SUPRA ล้อแม็กขอบ 19 นิ้ว เบาะหนัง ปรับไฟฟ้า พร้อม Memory seat เครื่องเสียง JBL ภายในคาร์บอนเคฟล่าร์ จอ I drive รองรับ Apple Carplay ครุยคอนโทรล กล้องถอย เนวิเกเตอร์ PUSH START แจ้งเตอนเปลี่ยนเลนส์ อุปกรณ์ควบคุมทุกอย่างในรถถูกจัดสรรไว้อย่างดี ขับขี่ใช้งานง่าย

รถบ้านแท้ๆ ไม่เคยชน สีเดิมจากโรงงานไม่มีริ้วรอยเลยครับ ภายในสะอาดเรียบร้อยไม่มีรอยเลย สามารถเช็คประวัติย้อนหลังได้ครับ การันตีหารุ่นนี้อยู่ไม่ผิดหวังแน่นอนกับรถสภาพเหมือนใหม่แบบนี้และราคาที่ดีที่สุดในตอนนี้ครับ คุ้มมากๆ แฟนพันธุ์แท้ รถสปอร์ต ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ดูรถไม่เป็นก็ซื้อได้ เพราะเรารับประกันว่า รถสวย+เลขไมล์แท้ เราขายความจริง เพื่อให้ท่านดูแลต่อได้อย่างสบายใจ สามารถโทรเช็คประวัติที่ศูนย์ได้ รถศูนย์ก็คือรถศูนย์ คนเล่นจะรู้ดี รถประวัติดีมากๆ หายากมากๆในตลาด รุ่นนี้ราคาแข็งมากๆ ราคาไม่ตก

Toyota Supra 3.0 (2021) GR Coupe: ตำนานรถสปอร์ตที่กลับมาพร้อมความเร้าใจ

Toyota Supra (รหัสตัวถัง A90/J29) คือการกลับมาของรถสปอร์ตระดับตำนานของ Toyota หลังจากห่างหายไปนาน โดยเป็นการพัฒนาร่วมกับ BMW (ใช้แพลตฟอร์มและเครื่องยนต์ร่วมกับ BMW Z4) ซึ่งทำให้ได้รถสปอร์ตคูเป้ที่มอบทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ ดีไซน์ที่ดุดัน และเทคโนโลยีที่ทันสมัย สำหรับรุ่นปี 2021 นี้ เครื่องยนต์ 3.0 ลิตรได้รับ การปรับเพิ่มพละกำลัง ทำให้มีสมรรถนะที่เหนือชั้นยิ่งขึ้นไปอีกขั้น

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Toyota Supra 3.0 2021 GR Coupe):

1. เครื่องยนต์เบนซิน B58 3.0 ลิตร 6 สูบ TwinPower Turbo (BMW-sourced):

   • ขนาด: 2,998 ซีซี (3.0 ลิตร) 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว TwinPower Turbo (เทอร์โบเดี่ยวแบบ Twin-scroll)

   • กำลังสูงสุด: 387 แรงม้า (PS) ที่ 5,800 - 6,500 รอบ/นาที (รุ่นปี 2021 เป็นต้นไป ได้รับการอัปเกรดจาก 340 แรงม้าในรุ่นแรก)

   • แรงบิดสูงสุด: 500 นิวตันเมตร ที่ 1,800 - 5,000 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ 8 จังหวะ (8-speed ZF Automatic Transmission)

   • สมรรถนะ: พละกำลังที่เพิ่มขึ้น ทำให้รถมีอัตราเร่งที่จัดจ้านอย่างเหลือเชื่อ (0-100 กม./ชม. ภายในประมาณ 4.1 วินาที) ตอบสนองได้ทันใจในทุกช่วงความเร็ว เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงให้เสียงที่ไพเราะและมีเอกลักษณ์ พร้อมการทำงานที่ราบรื่นของเกียร์ ZF

2. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่สปอร์ตดุดัน:

   • ภายนอก: รูปทรงคูเป้ 2 ที่นั่งที่ดูดุดัน โฉบเฉี่ยว และมีเส้นสายที่แข็งแกร่ง ไฟหน้า LED ดีไซน์สปอร์ต และเส้นสายที่ไหลลื่นตามหลักอากาศพลศาสตร์

   • ภายใน: ห้องโดยสารออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ เน้นผู้ขับขี่ ใช้วัสดุคุณภาพดี พร้อมเบาะนั่งสปอร์ตโอบกระชับลำตัว

3. ช่วงล่าง Adaptive Variable Suspension (AVS):

   • ช่วงล่างแบบปรับไฟฟ้าที่สามารถปรับความหนืดของโช้คอัพได้อัตโนมัติ ตามโหมดการขับขี่และสภาพถนน ให้ความสมดุลระหว่างความสะดวกสบายและความมั่นคงในการขับขี่แบบสปอร์ต

   • จุดศูนย์ถ่วงต่ำและน้ำหนักกระจายตัว 50:50 เพื่อสมรรถนะการเข้าโค้งที่ดีเยี่ยม

4. ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (Rear-Wheel Drive - RWD):

   • เป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตที่ให้ความรู้สึกในการควบคุมรถที่แม่นยำ การเข้าโค้งที่สนุก และการตอบสนองที่ตรงไปตรงมา

5. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • จอสัมผัสกลาง: ขนาด 8.8 นิ้ว สำหรับระบบ Infotainment รองรับ Apple CarPlay

   • มาตรวัด Full Digital: แสดงข้อมูลการขับขี่ครบครัน

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone:

   • ระบบ Smart Entry และ Push Start Button:

   • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control):

   • ระบบ Head-Up Display (HUD): แสดงข้อมูลสำคัญบนกระจกบังลมหน้า (ถ้ามี)

6. ระบบความปลอดภัย Toyota Supra Safety System:

   • ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง

   • ระบบเบรก ABS/EBD/BA

   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSC)

   • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)

   • ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Pre-Collision System - PCS)

   • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Lane Departure Alert - LDA)

   • ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control)

ในปี 2021 Toyota Supra มีรุ่นย่อยหลักๆ ที่จำหน่ายในประเทศไทยคือ:

• 2.0 GR Supra (เครื่องยนต์ 2.0L 4 สูบ)

• 3.0 GR Supra (เครื่องยนต์ 3.0L 6 สูบ)

ข้อดีของ Toyota Supra 3.0 (2021) GR Coupe เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. สมรรถนะที่เหนือชั้นกว่าอย่างชัดเจน:

   • เครื่องยนต์ 3.0L (387 แรงม้า): ให้พละกำลังและแรงบิดที่สูงกว่ารุ่น 2.0L อย่างมาก (2.0L มี 258 แรงม้า) ส่งผลให้อัตราเร่งดีกว่ามาก และให้ประสบการณ์ขับขี่ที่เร้าใจกว่า

   • DNA ของ 6 สูบ: สำหรับแฟน Supra ตัวจริง เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงคือหัวใจของ Supra และเป็นเอกลักษณ์ที่ขาดไม่ได้

2. ออปชันและเทคโนโลยีที่ครบครันกว่า:

   • โดยทั่วไปรุ่น 3.0 จะมาพร้อมออปชันมาตรฐานที่เหนือกว่า เช่น ช่วงล่าง Adaptive Variable Suspension และเบรกสมรรถนะสูง

3. ภาพลักษณ์และคุณค่า:

   • รุ่น 3.0 มีภาพลักษณ์ความเป็น "Supra" ที่สมบูรณ์แบบมากกว่า และมีโอกาสที่จะรักษามูลค่าได้ดีกว่าในระยะยาวสำหรับนักสะสม

สรุปจุดขายหลักของ Toyota Supra 3.0 (2021) GR Coupe:

• "ตำนานรถสปอร์ตที่กลับมาพร้อมความแรงขั้นสุด": เหมาะสำหรับผู้ที่หลงใหลในรถสปอร์ตที่ขับสนุก มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และดีไซน์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

• เครื่องยนต์ 3.0L TwinPower Turbo (387 แรงม้า): ทรงพลัง อัตราเร่งจัดจ้าน เสียงไพเราะ

• การขับขี่แบบสปอร์ตเต็มรูปแบบ: พวงมาลัยคม ช่วงล่างมั่นคง การเข้าโค้งที่ยอดเยี่ยม (Go-Kart Feeling)

• ดีไซน์ Iconic: รูปทรงที่ดุดัน สะดุดตา และเป็นที่จดจำ

• เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยทันสมัย: มอบความสะดวกสบายและความมั่นใจในการขับขี่

โดยรวมแล้ว Toyota Supra 3.0 (2021) GR Coupe เป็นรถยนต์มือสองที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถสปอร์ตระดับตำนาน ที่มีทั้งความแรง ดีไซน์ที่โดดเด่น และความสนุกสนาน

เกียร์ออโต้ ขับง่าย ตู้ทึบบรรทุก ตู้บรรทุกจากศูนย์ สั่งทำพิเศษ สูง 1.85 เมตร ตัวรถผลิตและจดทะเบียนปี 2020 แท้ๆ ตัวท๊อปสุด มีกระจกไฟฟ้า โฉม TOYOTA REVO 2.4 J PLUS รุ่นใหม่ เครื่อง 2400 ดีเซล เกียร์ออโต้ กำลังเครื่องดีมากๆ ขับง่าย ดูแลง่าย ไม่จุกจิก เพาเวอร์ ไม่เคยเฉี่ยวชน ไม่เคยบรรทุกหนัก จดทะเบียนเป็นตู้บรรทุก ถูกต้องทุกอย่าง พร้อมใช้ เลขไมล์ 20X,XXX Km. เช็คศูนย์ตลอด ประวัติดีมากๆ

ออกรถง่าย สบายใจหายห่วง ประหยัดกว่าเป็นแสน จะจ่ายแพงกว่าทำไม ซื้อคันนี้ได้รถสภาพดีมากๆ แต่ราคามือสอง แต่รับประกัน สภาพดีที่สุดแน่นอน

Toyota HILUX REVO 2.4 (2020) SINGLE J AT (กระบะตู้ทึบ)

Toyota Hilux Revo Single Cab (กระบะตอนเดียว) รุ่นปี 2020 ซึ่งเป็นโฉม Minorchange โดยยังคงความแข็งแกร่ง ทนทาน และประหยัดน้ำมันที่เป็นเอกลักษณ์ของ Toyota Hilux Revo ไว้ รุ่น J AT เป็นรุ่นเริ่มต้นสำหรับกระบะตอนเดียวเกียร์อัตโนมัติ ที่เน้นความคุ้มค่าและสะดวกสบายสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ และที่สำคัญคือ ติดตั้งกระบะตู้ทึบมาเรียบร้อยแล้ว

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Toyota HILUX REVO 2.4 2019 SINGLE J AT):

1. เครื่องยนต์ดีเซล 2GD-FTV 2.4 ลิตร VN Turbo:

   • ขนาด: 2,393 ซีซี (2.4 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VN Turbo พร้อม Intercooler

   • กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600 - 2,000 รอบ/นาที (สำหรับเกียร์อัตโนมัติ)

   • เกียร์: อัตโนมัติ 6 จังหวะ (6-speed Automatic Transmission)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร GD Super Power ให้พละกำลังและแรงบิดที่สูงเหมาะสมสำหรับการบรรทุก และการขนส่ง เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ โดยเฉพาะในเมืองหรือการจราจรติดขัด พร้อมความประหยัดน้ำมันและความทนทาน

2. ตัวถัง SINGLE Cab (ตอนเดียว):

   • ออกแบบมาเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์เป็นหลัก เน้นพื้นที่บรรทุกสูงสุด และความคล่องตัว

3. ช่วงล่างที่แข็งแกร่งทนทาน:

   • ด้านหน้าอิสระปีกนกคู่, ด้านหลังแหนบซ้อน (Leaf Spring) เหมาะกับการบรรทุกหนัก

   • ล้อกระทะเหล็กมาตรฐานที่ทนทานสำหรับการบรรทุก

4. ความน่าเชื่อถือ: Toyota Hilux Revo ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานสูง ค่าบำรุงรักษาต่ำ และอะไหล่หาง่าย

คุณสมบัติพิเศษของกระบะตู้ทึบ:

เป็น "กระบะตู้ทึบความสูง 1.85 เมตร" ซึ่งบ่งชี้ถึงการเป็นโซลูชันที่พร้อมใช้งานสำหรับการขนส่งสินค้า:

1. ลักษณะตู้ทึบ:

   • ตู้ทึบมีผิวเรียบสีขาวสะอาดตา

   • ผนังภายในตู้เป็นสีขาวเรียบ

   • พื้นตู้เป็นสีดำเรียบ ซึ่งน่าจะเป็นวัสดุที่ทนทานต่อการใช้งานและกันลื่น

   • ประตูท้ายเป็นแบบบานเปิดคู่ (Double Swing Door) เพื่อความสะดวกในการขนถ่ายสินค้า

2. ความสูง 1.85 เมตร:

   • ความสูงของตู้ (จากพื้นกระบะ) 1.85 เมตร เป็นความสูงที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งสินค้าที่มีปริมาตรมาก หรือสินค้าที่ไม่สูงเกินไปนัก ทำให้ใช้พื้นที่ภายในตู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การจดทะเบียน: ได้มีการแจ้งลงเล่มทะเบียนรถเรียบร้อยถูกต้องตามกฎหมาย

จุดขายหลักของ Toyota HILUX REVO 2.4 (2019) SINGLE J AT (กระบะตู้ทึบ):

• "รถกระบะบรรทุกพร้อมใช้ สะดวกสบาย บรรทุกได้เยอะ": เป็นโซลูชันที่ครบวงจรสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ที่ต้องการรถกระบะที่สามารถขนส่งสินค้าที่ต้องการการปกป้อง

• เกียร์อัตโนมัติ: เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ ลดความเมื่อยล้า โดยเฉพาะในการจราจรติดขัด

• ตู้ทึบ: ปกป้องสินค้าจากสภาพอากาศและเพิ่มความปลอดภัยในการขนส่ง

• ความสูง 1.85 เมตร: เพิ่มปริมาตรการบรรทุกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

• เครื่องยนต์ 2.4L ทนทาน ประหยัด: ให้พละกำลังเพียงพอ ค่าบำรุงรักษาต่ำ

• ความน่าเชื่อถือของ Toyota: การันตีด้วยคุณภาพ ราคาขายต่อดี

โดยรวมแล้ว Toyota HILUX REVO 2.4 (2019) SINGLE J AT พร้อมกระบะตู้ทึบ คันนี้ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการรถกระบะบรรทุกที่ทนทาน สะดวกสบาย และพร้อมใช้งานทันที

รถมือเดียวออกห้าง MODEL ปลายปี 2015 แท้ๆ รุ่น TOYOTA ESQUIRE 2.0 GI รถแท้ออกศูนย์ ไม่ใช่รถจดประกอบ สบายใจหายห่วง เครื่องเบนซิน 2.0 ออโต้ ไม่เคยติดแก๊ส ไม่ใช่ไฮบริด ไม่ต้องกลัวปัญหาเรื่องแบตไฮบริด ออปชั่นเต็ม ชุดแต่ง MODELISTA ซันรูฟ 2 ตอน ประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ฝั่ง ประตูดูด DVD TV จอถอย PUSH START กุญแจ KEY LESS เบาะ 3 แถว แอร์ 3 ตอน เบาะแถวกลางปรับชิดหรือแยกกันได้ ตามความต้องการ เบาะแถวหลังพับยกขึ้นได้ เพื่อวางของได้เยอะขึ้น รถบ้านแท้ มือเดียว ออกป้ายแดงมา ไม่ใช่รถเช่าหรือรถยึดจากไฟแนนซ์ การันตีสภาพ รถสวย ไม่เคยชน รถครอบครัว ปีใหม่ ราคาไม่แพง น่าใช้มากๆออกห้างมา 2.69 ล้าน ประหยัดไปเป็นล้าน คุ้มสุดๆ รับประกันสภาพ รถสวย+เลขไมล์แท้ 16X,XXX KM เช็คศูนย์ TOYOTA ตลอด เฉลี่ยใช้งานเพียงปีละ 1 หมื่นกว่าโล ประวัติดีมากๆ หายากมากๆ รถบ้านแท้ๆ

Toyota Esquire 2.0 (2015) Gi AT ชุดแต่ง MODELISTA รอบคัน: MPV หรู ดีไซน์โดดเด่น

Toyota Esquire เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ Noah/Voxy (เจเนอเรชันที่ 3 - R80) โดยเน้นความเป็น MPV ระดับพรีเมียมที่มาพร้อมดีไซน์หรูหรา และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน มุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความแตกต่างและมีสไตล์ รุ่นปี 2015 นี้เป็นปีแรกๆ ที่ Esquire ทำตลาด และรุ่น Gi AT ถือเป็นรุ่นท็อปของเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเบนซิน พร้อมชุดแต่ง MODELISTA รอบคันที่ช่วยเสริมความพรีเมียมและโดดเด่นยิ่งขึ้น

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Toyota Esquire 2.0 2015 Gi AT):

1. เครื่องยนต์เบนซิน 3ZR-FAE 2.0 ลิตร Valvematic:

   • ขนาด: 1,986 ซีซี (2.0 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Valvematic

   • กำลังสูงสุด: 152 แรงม้า (PS) ที่ 6,100 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 193 นิวตันเมตร ที่ 3,800 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ Super CVT-i

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร Valvematic ให้พละกำลังที่เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อน MPV ขนาดกลาง พร้อมความนุ่มนวลและราบรื่นของเกียร์ CVT ที่เน้นความสบายในการขับขี่และประหยัดน้ำมัน

2. ห้องโดยสาร 7-8 ที่นั่งที่กว้างขวางและสะดวกสบาย:

   • การจัดวางที่นั่ง: มักจะเป็น 7 ที่นั่ง (2-2-3) โดยรุ่น Gi เป็นเบาะแบบ Captain Seat ในแถว 2

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนังคุณภาพสูง (ในรุ่น Gi)

   • ประตูสไลด์ไฟฟ้า: ทั้ง 2 ข้าง (ด้านซ้ายและขวา) เพิ่มความสะดวกสบายในการขึ้น-ลงของผู้โดยสาร โดยเฉพาะในพื้นที่จำกัด

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ: พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง กระจายความเย็นทั่วถึง

3. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่หรูหราโดดเด่น:

   • ภายนอก: กระจังหน้าขนาดใหญ่ดีไซน์เฉพาะ Esquire พร้อมไฟหน้า Projector และไฟ DRL LED

   • ภายใน: แผงคอนโซลดีไซน์ล้ำสมัย ใช้วัสดุคุณภาพดี ตกแต่งด้วยลายไม้และโครเมียม

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • ระบบ Smart Entry และ Push Start Button

   • หน้าจอสัมผัส

   • พวงมาลัย Multi-function

   • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัย

   • ระบบเบรก ABS/EBD/BA

   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSC)

ชุดแต่ง MODELISTA รอบคัน:

การติดตั้งชุดแต่ง MODELISTA รอบคัน เป็นจุดเด่นสำคัญที่ช่วยยกระดับความโดดเด่นของรถคันนี้:

• ดีไซน์ภายนอก: MODELISTA เป็นสำนักแต่งในเครือ Toyota ที่เน้นการออกแบบชุดแอโรพาร์ทให้รถดูหรูหราและสปอร์ตขึ้นอย่างลงตัว โดยไม่ฉูดฉาด

  • ชุดแต่งมักประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า-ข้าง-หลัง ที่เข้ากับดีไซน์ของรถ Esquire

• ประโยชน์: เสริมภาพลักษณ์ให้รถดูพรีเมียม มีสไตล์ และแตกต่างจาก Esquire รุ่นมาตรฐานทั่วไป ทำให้รถดูมีเอกลักษณ์และโดดเด่นยิ่งขึ้น

ในปี 2015 Toyota Esquire 2.0 มีรุ่นย่อยหลักๆ คือ:

• 2.0 Xi AT: (รุ่นเริ่มต้น)

• 2.0 Gi AT (รุ่นท๊อปเบนซิน)

ข้อดีของ Toyota Esquire 2.0 (2015) Gi AT เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ความหรูหราและอุปกรณ์ครบครัน:

   • เหนือกว่ารุ่น Xi อย่างชัดเจนในด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและวัสดุภายใน เช่น ได้เบาะหนัง, Captain Seat แถว 2 (สำหรับ 7 ที่นั่ง), ประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ข้าง, Smart Entry/Push Start, และ Cruise Control

   • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครันสำหรับ MPV ของครอบครัว

2. ดีไซน์โดดเด่นด้วยชุดแต่ง MODELISTA:

   • การมีชุดแต่ง MODELISTA เพิ่มความพรีเมียมและสไตล์ให้กับรถ ทำให้ดูแตกต่างและหรูหรายิ่งขึ้น

3. ห้องโดยสารกว้างขวางและสะดวกสบาย:

   • Esquire ได้รับการยอมรับเรื่องพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง นั่งสบาย เหมาะกับการเดินทางไกล

สรุปจุดขายหลักของ Toyota Esquire 2.0 (2015) Gi AT ชุดแต่ง MODELISTA รอบคัน:

• "MPV หรูดีไซน์โดดเด่น กว้างขวาง สะดวกสบาย": เหมาะสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์สำหรับครอบครัว หรือธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความพรีเมียม มีสไตล์ และพื้นที่ใช้สอยที่คุ้มค่า

• ชุดแต่ง MODELISTA: เพิ่มความหรูหราและเอกลักษณ์ให้กับรถ

• ห้องโดยสาร Captain Seat VIP: สำหรับรุ่น 7 ที่นั่ง เบาะนั่งแถว 2 เป็น Captain Seat มอบความสบายสูงสุด

• ประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 ข้าง: เพิ่มความสะดวกสบายในการขึ้น-ลง

• เครื่องยนต์ 2.0L Valvematic: นุ่มนวล ประหยัดน้ำมัน

• ความน่าเชื่อถือของ Toyota: ค่าบำรุงรักษาไม่แพง อะไหล่หาง่าย

Nissan TEANA 2.5 (2010) 250 XV: ซีดานหรูที่เน้นความสบายและสมรรถนะ

Nissan Teana เจเนอเรชันที่ 2 (รหัสตัวถัง J32) เปิดตัวในประเทศไทยช่วงปี 2008-2009 ซึ่งเป็นรถยนต์ซีดานขนาดกลาง (D-segment) ที่เน้นความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความนุ่มนวลในการขับขี่ สำหรับรุ่นปี 2010 นี้ รุ่น 250 XV ถือเป็นรุ่นท็อปสุดของเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ซึ่งมาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและฟังก์ชันพิเศษที่ครบครัน และการที่มีการติดตั้งถังแก๊สแสดงว่าได้มีการดัดแปลงระบบเชื้อเพลิง

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Nissan TEANA 2.5 2010 250 XV):

1. เครื่องยนต์เบนซิน VQ25DE 2.5 ลิตร V6:

   • ขนาด: 2,496 ซีซี (2.5 ลิตร) V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว

   • กำลังสูงสุด: 182 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 228 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ XTRONIC CVT (Continuously Variable Transmission)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ V6 ของ Nissan ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มนวล การทำงานที่ราบรื่น และเสียงที่เงียบ ให้พละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งานทั้งในเมืองและเดินทางไกล เกียร์ XTRONIC CVT ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่นและต่อเนื่อง เน้นความสบายในการขับขี่

2. ห้องโดยสารที่หรูหราและกว้างขวาง:

   • วัสดุภายใน: ใช้วัสดุคุณภาพสูง ทั้งหนังแท้ ลายไม้ และวัสดุสีเมทัลลิก การออกแบบที่เน้นความหรูหราและผ่อนคลาย

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนังแท้ (ในรุ่น XV) เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า (อาจมีหน่วยความจำ) เบาะนั่งออกแบบมาให้นั่งสบายเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้โดยสารตอนหลังที่มีพื้นที่วางขาที่กว้างขวาง

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone: แยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา

3. ดีไซน์ภายนอกที่สง่างาม:

   • รูปลักษณ์ที่ดูภูมิฐานและหรูหรา เหมาะสำหรับผู้บริหาร

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี (รุ่น 250 XV):

   • ระบบกุญแจ Intelligent Key และ Push Start Button:

   • จอแสดงผลกลาง: สำหรับระบบเครื่องเสียงและข้อมูลรถ (อาจเป็นจอสีในรุ่น XV)

   • ระบบเครื่องเสียง: เครื่องเล่น CD/MP3 พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX (อาจรองรับ Bluetooth ในบางรุ่นย่อย)

   • พวงมาลัย Multi-function: ควบคุมเครื่องเสียงและ Cruise Control

   • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control):

   • ม่านบังแดดหลังไฟฟ้า: เพิ่มความเป็นส่วนตัว

   • กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า:

   • ระบบไฟหน้า Bi-Xenon (HID): ให้ความสว่างสูง (ในรุ่น XV)

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง (สำหรับยุคนั้น):

   • ถุงลมนิรภัย 4 ตำแหน่ง (คู่หน้า และด้านข้าง)

   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System), EBD (Electronic Brake-force Distribution), BA (Brake Assist)

   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว VDC (Vehicle Dynamic Control) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction Control System) (ในรุ่น 250 XV)

ระบบแก๊ส:

ถังแก๊สแบบโดนัท (Toroidal Tank) ติดตั้งระบบเชื้อเพลิงเป็นแบบ LPG ถังแก๊สเป็นแบบโดนัท (Toroidal Tank) ติดตั้งอยู่ในช่องยางอะไหล่

• จุดเด่น: การติดตั้งแก๊สช่วยลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะสำหรับรถยนต์เครื่อง 2.5 ลิตร V6 ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้เป็นอย่างดี

จุดขายหลักของ Nissan TEANA 2.5 (2010) 250 XV (พร้อมระบบแก๊ส):

• "ซีดานหรู V6 ที่ขับสบายและประหยัดค่าใช้จ่าย": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์นั่งที่ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ ความเงียบสงบในห้องโดยสาร และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบถ้วน พร้อมความประหยัดจากระบบแก๊ส

• เครื่องยนต์ V6 2.5 ลิตร: ให้การขับขี่ที่ราบรื่น นุ่มนวล และทรงพลัง

• ห้องโดยสารหรูหรา: วัสดุคุณภาพดี กว้างขวาง นั่งสบาย

• ออปชันครบครัน (รุ่น XV): ตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องการความสะดวกสบายระดับสูง

• ความประหยัดจากระบบแก๊ส: ลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงลงอย่างมาก

• ราคาคุ้มค่าในตลาดมือสอง: ได้รถซีดานหรูในราคาที่เข้าถึงได้

โดยรวมแล้ว Nissan TEANA 2.5 (2010) 250 XV พร้อมระบบแก๊ส เป็นรถยนต์นั่งมือสองที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการรถซีดานหรู ความสบาย และฟังก์ชันที่ครบครัน ในราคาที่คุ้มค่าและมีค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงที่ต่ำลงครับ

Honda City 1.0 SV Hatchback (2022)

1. สเปคเด่น (Key Specifications)

• เครื่องยนต์: เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO
• กำลังสูงสุด: 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 - 4,500 รอบ/นาที
• ระบบเกียร์: อัตโนมัติ CVT
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหน้า

2. จุดเด่นและข้อดีของ Honda City Hatchback

เครื่องยนต์ 1.0L VTEC TURBO:

• สมรรถนะเกินตัว: ให้แรงบิดสูงเทียบเท่าเครื่อง 1.8 ลิตร แต่มาในรอบต่ำ ทำให้มีอัตราเร่งที่สนุกสนานและทันใจ
• ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง: ด้วยเทคโนโลยี Downsizing และ Direct Injection ทำให้มีการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพสูง

ความอเนกประสงค์ของเบาะ Ultra Seat:

• คือจุดแข็งที่สุดของ City Hatchback เบาะหลังสามารถพับและปรับเปลี่ยนได้ 4 รูปแบบหลัก:
  • Utility Mode: พับเบาะหลังราบเพื่อขนของขนาดใหญ่
  • Long Mode: พับเบาะหน้าและหลังเพื่อขนของที่มีความยาวมาก
  • Tall Mode: ยกเบาะรองนั่งขึ้นเพื่อขนของทรงสูง
  • Refresh Mode: เอนเบาะหน้าเชื่อมต่อเบาะหลังเพื่อเป็นพื้นที่พักผ่อน

ดีไซน์สปอร์ตและทันสมัย:

• การออกแบบตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ทำให้ตัวรถดูมีความสปอร์ตและลงตัว

ความน่าเชื่อถือและความทนทาน:

• ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานสูง ปัญหาจุกจิกน้อย ทำให้เป็นรถที่ดูแลรักษาง่ายและสบายใจในการใช้งานระยะยาว

3. ตารางเปรียบเทียบรุ่นย่อย (City Hatchback ณ ปี 2022)

ข้อดีของรุ่น SV: เป็นรุ่นที่ให้ความ "คุ้มค่า" สูง เพราะได้ออปชันที่จำเป็นและสร้างความสะดวกสบายมาครบถ้วน ทั้งเบาะหนัง, แอร์ออโต้, และ Cruise Control

4. อัตราสิ้นเปลืองและราคาเปิดตัว

• อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: อยู่ที่ประมาณ 18 - 23 กม./ลิตร ซึ่งประหยัดมาก
• ราคาเปิดตัว (ณ ปี 2022): 675,000 บาท

เกียร์ออโต้ ตัวพิเศษ WildTrak แต่งพิเศษจากศูนย์ จัดทรงหล่อๆ ไมล์แท้ เช็คศูนย์ตลอด MODEL ปี 2017 แท้ๆ Ford Ranger 4 ประตู 2.2 Hi-Rider WildTrak ยกสูงจากศูนย์ รุ่นใหม่ หน้าใหม่ ไฟใหม่ ขึ้น-ลงสะดวก การันตีสภาพ รถสวย+เลขไมล์แท้ การันตีสภาพ รถสวยเดิมๆ ไม่เคยชน ประวัติดีมากๆ มือเดียวออกห้าง ไม่เคยแต่งเครื่อง ไม่ช้ำ ไม่โทรม รถบ้านแท้ๆ ซื้อสดฟรี VAT 7 เปอร์เซนต์

เครื่องดีเซล 2200 รุ่นใหม่ เกียร์ออโต้ ขับง่าย ทนทาน ไม่จุกจิก ประหยัดน้ำมัน

เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ มือเดียว ออกห้างป้ายแดงมา สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข เราขายความจริง ไม่มีการกลับไมล์ เพื่อให้ท่านดูแลรถได้อย่างสบายใจ ไม่เคยบรรทุกหนัก

ฟรีดาวน์ ออกรถได้ง่ายที่สุด รับฟังทุกเงื่อนไข ดอกเบี้ยถูกที่สุด ออกได้ทุกอาชีพ

Ford Ranger 2.2 (2017) DOUBLE CAB Hi-Rider WildTrak AT

Ford Ranger เจเนอเรชัน T6 (โฉมปัจจุบันก่อนเปลี่ยนรุ่นเป็น Next-Gen) ได้รับการยอมรับอย่างสูงในตลาดรถกระบะทั่วโลก ด้วยดีไซน์ที่แข็งแกร่ง สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สำหรับรุ่นปี 2017 นี้ เป็นช่วงที่ Ranger Minorchange ได้รับความนิยมอย่างมาก และรุ่น WildTrak ถือเป็นรุ่นท็อปที่เน้นภาพลักษณ์สปอร์ตพรีเมียม และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครันที่สุด พร้อมเกียร์อัตโนมัติที่เพิ่มความสะดวกสบาย

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Ford Ranger 2.2 2017 DOUBLE CAB Hi-Rider WildTrak AT):

1. เครื่องยนต์ดีเซล Duratorq TDCi 2.2 ลิตร VG Turbo:

   • ขนาด: 2,198 ซีซี (2.2 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VG Turbo (เทอร์โบแปรผัน) พร้อม Intercooler

   • กำลังสูงสุด: 160 แรงม้า (PS) ที่ 3,200 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 385 นิวตันเมตร ที่ 1,600 - 2,500 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ 6 จังหวะ (6-speed Automatic Transmission)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 2.2 ลิตรตัวนี้ให้พละกำลังและแรงบิดที่สูงกว่ากระบะ 2.2 ลิตรทั่วไปอย่างชัดเจน ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ดี ตอบสนองได้ทันใจ เหมาะสำหรับการใช้งานบรรทุกทั่วไป และการขับขี่ในชีวิตประจำวัน เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ โดยเฉพาะในเมืองหรือการจราจรที่ติดขัด

2. ตัวถัง DOUBLE CAB (กระบะ 4 ประตู) Hi-Rider (ยกสูง 2WD):

   • ความเอนกประสงค์: ห้องโดยสาร 4 ประตู กว้างขวาง นั่งสบายสำหรับ 4-5 คน เหมาะสำหรับใช้งานส่วนตัว ครอบครัว และงานบรรทุก

   • Hi-Rider: ตัวถังยกสูงจากโรงงาน ทำให้มี Ground Clearance ที่สูง สามารถลุยเส้นทางขรุขระ หรือน้ำท่วมขังได้ดีกว่ากระบะ 2WD ปกติ

3. ดีไซน์ WildTrak ที่โดดเด่น:

   • ภายนอก: กระจังหน้าดีไซน์เฉพาะ WildTrak, ไฟหน้า Projector Lens (อาจเป็น LED ในบางรุ่นย่อยย่อย), ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (DRL) แบบ LED, กันชนหลังสีทูโทน, และโรลบาร์ดีไซน์สปอร์ต (Sport Bar)

   • ภายใน: เบาะหนังดีไซน์เฉพาะ WildTrak พร้อมตะเข็บส้ม, จอสัมผัสขนาดใหญ่ (SYNC 2 หรือ SYNC 3 ในช่วงปลายปี), มาตรวัดแบบ Digital, และการตกแต่งด้วยโทนสีดำตัดส้ม

4. ช่วงล่างที่มั่นคงและนุ่มนวล:

   • ด้านหน้าอิสระปีกนกคู่, ด้านหลังแหนบซ้อน (Leaf Spring) ที่ได้รับการปรับจูนมาอย่างดี เพื่อความสมดุลระหว่างการบรรทุกและความนุ่มนวลในการขับขี่

5. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี (รุ่น WildTrak AT):

   • ระบบ SYNC 2 (หรือ SYNC 3): ระบบ Infotainment พร้อมหน้าจอสัมผัส รองรับการสั่งงานด้วยเสียง (Voice Command)

   • พวงมาลัย Multi-function: พร้อมปุ่มควบคุม Cruise Control

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone:

   • กุญแจรีโมท Smart Key และ Push Start Button: (ในรุ่น WildTrak)

   • เบาะคนขับปรับไฟฟ้า: (ในรุ่น WildTrak)

   • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า (Power Tailgate): (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน)

   • กล้องมองหลัง: พร้อมเซ็นเซอร์กะระยะหน้า-หลัง

   • ระบบ Park Assist (ช่วยจอดอัตโนมัติ): (ในรุ่น WildTrak)

ข้อดีของ Ford Ranger 2.2 (2017) DOUBLE CAB Hi-Rider WildTrak AT เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ดีไซน์และภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและพรีเมียม:

   • WildTrak เป็นรุ่นที่ให้ภาพลักษณ์สปอร์ต หรูหรา และทันสมัยที่สุดในกลุ่ม Ranger (ไม่รวม Raptor) ด้วยชุดแต่งภายนอก-ภายในเฉพาะตัว

   • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถกระบะ 4 ประตูที่โดดเด่นและมีสไตล์

2. ออปชันและเทคโนโลยีครบครัน:

   • ได้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครันที่สุด (เช่น SYNC 2/3, เบาะคนขับไฟฟ้า, Push Start, ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัย 6 ใบ) ทำให้การขับขี่สะดวกสบายและมั่นใจ

   • ประตูท้ายไฟฟ้า (ถ้ามี) เป็นฟังก์ชันที่เพิ่มความสะดวกอย่างมาก

3. สมรรถนะเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรที่เหนือกว่าพร้อมเกียร์ AT:

   • เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร 160 แรงม้า / 385 นิวตันเมตร ให้พละกำลังเหลือเฟือสำหรับใช้งานทั่วไป และทำงานร่วมกับเกียร์ 6 จังหวะอัตโนมัติที่เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่อย่างมาก

สรุปจุดขายหลักของ Ford Ranger 2.2 (2017) DOUBLE CAB Hi-Rider WildTrak AT:

• "กระบะ 4 ประตูตัวท็อป ดีไซน์เด่น ออปชันครบ สมรรถนะดี": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถกระบะ 4 ประตู ที่ใช้งานได้หลากหลาย ทั้งส่วนตัว ครอบครัว และงานบรรทุก พร้อมภาพลักษณ์ที่สปอร์ตพรีเมียม และความสะดวกสบาย

• ดีไซน์ WildTrak: โดดเด่น มีสไตล์ ไม่เหมือนใคร

• ออปชันครบครัน: เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยจัดเต็ม

• เครื่องยนต์ 2.2L + เกียร์ AT: แรงพอ ขับสบาย ประหยัด

• ราคาคุ้มค่าในตลาดมือสอง: ได้รถกระบะพรีเมียมในราคาที่จับต้องได้

ราคาเปิดตัว 965,000 บาท